ครีเอท Everyday Look แต่งง่ายด้วย 8 ร้านเสื้อผ้าไอจี ไปเที่ยวคือดีย์ มีประชุมก็รอด! August 20, 2020 0
Street Field in BKK มิกซ์แอนด์แมทช์ลุคสุดแอคทีฟ ด้วยไอเท็มจากแบรนด์ LCFC คอลเลคชั่น Worro Filbert July 10, 2020 0
ครีเอทสไตล์ของตัวคุณเองด้วยไอเท็มสุดสตรีท จากแบรนด์ “มหานคร” กับคอลเลคชั่น “Bangkok Nowhere” June 10, 2020 0
ถึงเวลาช้อปให้จุใจ Element 72 เปิด Outdoor Botanica แห่งแรก พร้อมไอเท็มกว่า 10,000 ชิ้น! July 3, 2020 0
Gallery เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี เจ้าพ่อเอ็มวี ซีรีส์ และหนังไทยนับไม่ถ้วน by ninnyhammer 6 years ago แฟน ๆ หนังไทยที่ไม่ว่าจะเป็นหนังโรง หนังสั้น หนังไวรัลเอย หรือแม้กระทั่งซีรีส์ไปจนถึงเอ็มวีหลาย ๆ ตัว จะต้องคุ้นหน้าของ ‘เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี’ หรือจะเรียกเขาว่า ‘บอย’ ผู้รับบทหนุ่มของหมอณัฐจาก Wake Up ชะนีก็ได้ แต่ถ้าทิ้งระยะห่างนานจนเกินก็ให้นึกถึงเอ็มวีตัวล่าสุดหนุ่มเจ้าของร้านล้างฟิล์มในเพลง ‘ฉันไม่เปลี่ยน’ จาก ETC. ก็ได้ และวันนี้เรามีโอกาสได้ชวน เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี หนุ่มลูกครึ่งคนนี้มานั่งพูดคุยจริง ๆ จัง ๆ เกี่ยวกับเรื่องมุมมองและความรักการแสดงของเขา ใครที่พร้อมและรอทำความรู้จักกับหนุ่มคนนี้อยู่ เราสัญญาว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง แถมท้ายบทสัมภาษณ์นี้หนุ่มคนนี้เขามีผลงานซีรีส์เรื่องใหม่ล่าสุดมาฝากไว้ในใจเธอด้วยนะ เกริ่นความเป็นเบนจามินให้ฟังหน่อย ผมเป็นคนไม่ซีเรียสกับอะไรเท่าไหร่ หมายถึงว่าไม่ได้ยึดติดกับอะไรเยอะ ถ้ารู้จักใครสักคนผมไม่ได้แบ่งแยกคนว่าจะต้องเป็นแบบนี้หรือแบบนี้ ผมทำความรู้จักกับใครก็ได้ และพยายามจะไม่อยู่ไปวัน ๆ พยายามจะใช้เวลาให้มีประโยชน์ โดยการหาสิ่งที่ตัวเองชอบสิ่งที่ตัวเองรัก เป็นแพสชั่นมาบริหารเวลาให้ชีวิตมันเต็มขึ้น รู้ตัวเองว่าชอบการแสดงตั้งแต่เมื่อไหร่ การแสดงผมเริ่มเรียนตอนอยู่โฮมสคูลที่บ้าน พออยู่บ้านมันก็ไม่ได้มีสังคมเพื่อนก็เลยอยากไปหาสังคมอะไรก็ได้ที่สามารถออกไปแฮงก์เอาท์กับเพื่อนได้ ก็เริ่มจากการไปสมัครเรียนที่กาดสวนแก้ว เป็นห้างเก่า ๆ ที่เชียงใหม่ มีเป็นกาดเธียเตอร์เป็นโรงละครใหญ่ ๆ ที่พี่โน้ต อุดมเขาชอบไปพูด ที่นั่นเขาจะมีคอร์สสอนการแสดงมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ผมก็เลยไปเรียน ปัจจัยแรกเลยคืออยากมีเพื่อน ตอนแรกยังไม่รู้เลยว่าการแสดงคืออะไร แต่พอมีเพื่อนด้วย แล้วเรายังเด็กด้วย พอได้ลองเรียนการแสดงเลยตกหลุมรักแต่เด็กเลยครับ ถ้าไม่นับ AF คิดว่าคนรู้จักเราจากอะไร น่าจะเป็นพวกเอ็มวี โฆษณา แล้วก็ Wake Up ชะนีที่ทำให้คนรู้จักมากขึ้น ก่อนมาเป็นนักแสดงกับเป็นนักแสดงแล้ว คิดว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน น่าจะเป็นเรื่องของประสบการณ์ของงานมากกว่า ตอนแรกชอบการแสดงก็จริงแต่ไม่ได้ลองเอามาปฏิบัติจริง ๆ หน้ากล้อง หรือแสดงกับคนอื่น ๆ ที่เขาแสดงเป็นอยู่แล้ว คนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก น่าจะเป็นเรื่องของประสบการณ์มากกว่า แล้วก็เรื่องของสมาธิด้วย พอเป็นนักแสดงแล้วมีคนรู้จักเยอะ เราวางตัวกับการเป็นจุดสนใจยังไงบ้าง พยายามไม่วางตัว เป็นตัวเองเหมือนตอนแรก แต่แค่ขอให้มีความรับผิดชอบก็พอแล้ว แค่ว่าเรารู้สึกว่าเราทุ่มเทกับงานนี้ แต่แค่รักษาความเป็นตัวเองแค่นั้นก็พอแล้ว ผมรู้สึกว่าถ้าเราทำอะไรเต็มที่ เราไม่ต้องไปเสียดายมัน ถ้าสมมุติว่ามีคนคาดหวังว่าเราต้องเล่นให้มันได้ แต่เรารู้ตัวเองลึก ๆ ว่าเราทำเต็มที่แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่ว่าคนจะบอกว่าเล่นไม่สุดหรือว่าอะไร ผลงานที่ชอบเป็นพิเศษ หนังสั้นก็จะเป็นของพี่เต๋อ นวพล ครับ Rompboy 39 จริง ๆ ผมชอบเอ็มวี ชอบเล่นเอ็มวี ชอบแสดงเอ็มวี ผมชอบเล่นดนตรีอยู่แล้ว พอเล่นดนตรีก็เอาการแสดงมารวมกัน เป็นอะไรที่แบบฟิน ฟินมาก ไม่ต้องพูดเยอะ บางทีการแสดงมันไม่จำเป็นต้องมีไดอะล็อกพูดก็ได้ เน้นภาษากายก็ได้ เหมือนแบบชาร์ลี แชปลิน, มิสเตอร์บีน มันมีหลาย ๆ วิธีในการสื่อความหมายให้คนดูดูได้ ผมเลยชอบเอ็มวีมาก มันถ่ายแป๊บเดียว แล้วไม่ต้องจำบทด้วย ทำไมถึงเล่น Wake up ชะนี ตอนอยู่ในบ้านผมได้รู้จักกับครูเงาะ มีพี่คนหนึ่งชื่อพี่กุ๊กไก่ เขาเขียนบทให้ครูเงาะ ตอนนั้นมันเป็นวีคละครเวที แล้วก็นานมากแล้ว ตั้งแต่อยู่ในบ้าน บังเอิญมาเจอแกหกปีหลังจากนั้น แกชวนมาแคสต์เรื่อง Wake Up ชะนี แต่ไอ้บทที่ผมได้มันไม่ได้เป็นบทหลักเป็นแค่บทแขกรับเชิญเฉย ๆ “บอย” ครับ คิดยังไงกับการต้องเจอคำถามระบุเพศเวลาที่รับบทชายรักชาย ปกติครับ เป็นคำถามปกติอยู่แล้ว คนเขาสงสัยเขาก็แค่แบบอยากรู้ แต่ผมแค่รู้สึกว่าแบบการเป็นนักแสดงมันต้องลองอะไรใหม่ ๆ บ้าง ไม่ใช่เล่นแค่บทเดียว ถนัดแค่บทเดียว เราเป็นนักแสดง เราคงอยากจะเข้าถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไปด้วย อารมณ์จิตวิทยามันจะมีคนหลายประเภทที่แตกต่างกัน นักแสดงก็คล้าย ๆ กันนะ พอเราเห็นคนนู้นน่าสนใจคนนี้น่าสนใจ เราก็อยากจะเป็นเขาบ้าง ลองดู อย่างการได้รับบทเป็น “บอย” ก็รู้สึกได้อะไรใหม่ ๆ เยอะขึ้น เกิดมาเป็นมนุษย์มันควรได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วย ในรูปแบบของการแสดงเป็นพื้นที่ที่เราจะเป็นอะไรก็ได้ หลังจากนั้นเราก็หลุดจากบทบาทนั้นได้เลย หลังจากนั้นมันจะได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ในชีวิต มันน่าสนใจดีนะผมว่า ความยากของการเป็นบอย การที่รู้สึกผูกพันกับหมอณัฐ เพราะผมไม่เคยรู้สึกผูกพันกับผู้ชายในระดับที่อยากจะเจอเขา อยากจะยังไปหาเขา อยากเป็นแฟนกับเขา อยากใช้ชีวิตกับเขา ผมก็เลยต้องทำการบ้าน ทำอารมณ์นิดหน่อย อาจจะเป็นการแทน ทดแทนคน เน้นการมองตา มองตาพี่ป๋อมแป๋มแล้วก็ใช้ความรู้สึก ฉากประทับใจใน Wake Up ชะนี ผมชอบซีนที่นั่งคุยกันตอนกินข้าวต้มครับ รู้สึกว่าซีนนั้นผมกับพี่ป๋อมแป๋มแทบจะไม่ได้นัดอะไรกันเยอะเลย ต่างคนต่างไปจำบทมาเฉย ๆ คร่าว ๆ แล้วก็ปล่อยให้มันไหลไปเลยรักษาเนื้อหาของบทไว้เฉย ๆ แต่เพิ่มนู่นเพิ่มนี่ไหลไปเรื่อย ๆ เป็นการแสดงที่ผมไม่ต้องคิดอะไรเลยอะ ไม่ต้องนึกถึงบท ไม่ต้องอะไรเลย รู้สึกมันธรรมชาติมาก เหมือนมานั่งกับพี่ป๋อมแป๋ม นั่งกินข้าวกันจริง ๆ พอมันคุยไป บทมันยาวด้วยไงครับ พอบทมันยาวยิ่งลืมนู่นลืมนี่ ลืมกล้อง กลายเป็นว่าครีเอทโมเมนต์นั้นคือมาเลย ผมรู้สึกว่านักแสดงส่วนมากถ้าสมมุติครีเอทโมเมนต์ได้ บางทีมันจะเกิดขึ้นจากการที่เราไม่กังวลอะไรเลย ผมสัมผัสจากพี่ป๋อมแป๋มได้ด้วยตอนนั้น จะหันทำเพลงจริงจังหรือยัง เพลงนี้ผมกะไม่ได้ทำจริงจังอะไรขนาดนั้น พยายามไม่คาดหวังกับเพลง เพราะเราไม่ได้เก่งอะไรมาก เหมือนเป็น งานอดิเรก เป็นงานศิลป์ของเราที่ทำของตัวเองได้ ถ่ายทอด ใครชอบใครไม่ชอบไม่ซีเรียส แค่ขอได้ทำ งานแสดงสำหรับผมมันคนละแบบกัน ดนตรีมันจะส่วนตัวมากกว่า กลับมาเล่นดนตรีมันผ่อนคลาย บางทีผมไปแสดงบางทีมันเครียด แต่กับดนตรีผมไม่เคยเครียดเลย ผมก็เลยอยากจะเก็บไว้ว่าครึ่งหนึ่งส่วนตัว อีกครึ่งหนึ่งถ้าขายได้ก็ขายได้ ขายไม่ได้ก็ไม่ซีเรียส ยังคงอยากเล่นดนตรีไปเรื่อย ๆ พูดถึงเพลง Slyman หน่อย จริง ๆ แล้วมันมีหลายประเด็นมากเลย มันเกี่ยวกับความเครียด การที่มนุษย์โตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วยิ่งเข้าสู่โลกความเป็นจริงจากตอนเด็ก รู้สึกว่าโลกแม่งโหดร้าย ทำไมบางทีมันเจ็บข้างใน ความเจ็บปวด ยอมรับมันเข้ามา ไม่ต้องไปปฏิเสธมัน แค่เข้าใจมัน เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ตัวเราเองล่ะ รับมือกับความเจ็บปวดยังไง อย่างแรกก็คือเข้าใจมัน จริง ๆ แล้วชีวิตคือ Vibration มันมีขึ้นมีลงตลอดอยู่แล้ว ถ้าเราเจอเรื่องแย่ ๆ มันคงไม่แย่ไปตลอด มันไม่มีอะไรเสถียรอยู่แล้ว ถ้ามันแย่เดี๋ยวมันก็ดี แล้วตอนดีก็จำไว้ว่าเดี๋ยวมันก็แย่ แค่เข้าใจมัน เข้าใจมาก ๆ ชินไป แล้วเราก็จะรู้สึกว่าตัวเราเบา จริง ๆ แล้วเราเป็นคนทำให้เราเจ็บเอง ความคิดของเราอะไรแบบนี้ พูดถึงซีรีส์เรื่องใหม่หน่อย ซีรีส์มันชื่อ Hipster or Loser มันเป็นเรื่องของเด็กวัยรุ่นสามคนที่อยากสร้างร้านกาแฟไม่แมสไม่ใช่เมนสตรีม มีรายละเอียดมีสตอรี่แบบแท้จริง มันก็จะมีเรื่องราวต่าง ๆ มาปั่นร้าน ไอ้สามคนนี้มันจะทำให้ร้านกาแฟของมันประสบความสำเร็จหรือเปล่า มีฝั่งตรงข้ามเป็นร้านคู่แข่งที่เปิดร้านกาแฟแมสมากคนเยอะ ใครที่เคยแอบหลงรักเบนจามิน โจเซฟ วาร์นีในบทบาทนักร้องจากรายการ Academy Fantasia ถ้าวันนี้อยากลองหลงรักในรูปแบบของนักแสดงดูบ้างอย่าลืมไปติดตามผลงานของเขากันนะ ติดตามอัปเดตได้จากอินสตาแกรม ดูโพสต์นี้บน Instagram โพสต์ที่แชร์โดย เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี (@chipmunkben) เมื่อ ก.ค. 28, 2017 เวลา 9:23pm PDT อยากให้เพื่อนได้อ่าน แชร์เลยFacebookTwitterLine FacebookTwitterLineComments TAGS :Benjamin chipmunkben Wake Up ชะนี เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี Share This Articles Share this article Share this article
JOY รวม 7 ช่อง YouTube แดนซ์กระจายไขมันกระจุย by SS TEAM 3 years ago ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ทำให้เพื่อนๆหลายคนต้อง WFH หรือหยุดอยู่บ้าน บางทีก็ได้แต่นั่งๆ นอนๆ ไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนร่างกาย จะให้ไปยิมตอนนี้ก็ไม่ได้ เพราะก็ยังปิดอยู่แถมเสี่ยงมากๆ การออกกำลังกายอยู่บ้านก็เป็นอีกทางเลือกนึงที่พอจะทำได้ในช่วงนี้ ซึ่งการออกกำลังกายแบบเดิมๆไม่ว่าจะเป็นโยคะหรือ บอดี้เวท บางทีดูซำ้ๆทำนานๆก็เบื่อ บางคนที่บ้านก็ไม่ได้มีอุปกรณ์อะไรเยอะ...
STYLE ไอเดียแมทช์กางเกงขาสั้นสุดคูล อัพลุคเป็น Boyish Girl by SS TEAM 3 years ago ช่วงนี้ส่วนใหญ่สาวๆหลายคนต้อง WFH เลยไม่ค่อยได้ออกไปไหน การแต่งตัวทั่วๆ ไปสำหรับช่วงนี้ก็คงหนีไม่พ้น เสื้อยืดหลวมๆซักตัวกับ กางเกงขาสั้น เพื่อความคล่องตัว แต่ใส่แบบนี้ทุกวันบางทีก็เบื่อๆ หรือจะอัพรูปลงโซเชียลแต่ละทีก็ดูไม่ค่อยคูลเลย วันนี้ Shopspotter มีไอเดียมาฝากสาวๆ...
STYLE แมทช์ไอเทม COW PRINT ให้สุดชิคเกินต้าน by SS TEAM 3 years ago สายมินิมอลต้องหลบไป สายลายปริ้นท์มาทางนี้! ปกติเราจะเห็นเสื้อผ้าหรือไอเทมอื่นๆที่เป็น Animal Print อย่างลายงู ลายเสือดาวทั่วๆไปจนชินตา แต่ปีนี้ลาย Animal Print อีกหนึ่งลายที่เราไม่ควรพลาดก็คือลาย Cow Print สุดชิคเรียกได้ว่าสามารถอัพลุคให้คุณดูเก๋กว่าใคร แถมยังดูแปลกตากว่าเดิม...