Now Reading:

ขอเป็นเพื่อนบ้านข้างๆได้ไหม เปิดใจคุยกับ ‘ตูน ณัฐธีร์’ เจ้าของเพจบ้านข้างๆ

“ตั้งแต่ผมอยู่ม.ปลาย ผมก็ชอบถ่ายบ้านข้างๆ”

นี่เป็นประโยคหนึ่งที่ปรากฏในไบโอของอินสตาแกรม t_047 มันไม่ได้มีภาพอะไรทำให้คนที่ผ่านไปผ่านมาอย่างเราๆ เกิดอาการสนุกหรือเร้าใจ แต่สิ่งที่แวบเข้ามาในหัว ณ ขณะนั้นกลับเป็นความรู้สึกสงสัยที่พร้อมดึงดูดใจให้หยุดสายตาไว้ที่ภาพถ่ายทั้ง 394 โพสต์

และเริ่มตั้งคำถามกับมันว่า เพราะอะไร เพียงภาพบ้านในมุมเดิมกับท้องฟ้าในวันที่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลากว่า 2190 วันที่ชายหนุ่มคนหนึ่งได้เฝ้ามองและบันทึกเรื่องราวลงในไดอารี่ส่วนตัว ความน่าสนใจของมันไม่ได้อยู่ที่ยอดไลค์ ยอดแชร์ที่ทำให้บ้านหลังนี้มีชื่อเสียงที่โด่งดัง แต่มันคือเรื่องเล่าของภาพถ่ายที่เติบโตไปพร้อมกับ “ตูน ณัฐธีร์ อัครพลธนรักษ์” เจ้าของเพจ บ้านข้างๆ หรือ t_047

สิ่งจุดประกายให้เริ่มถ่ายภาพบ้านข้างๆ

จุดเริ่มต้นคือช่วง ม.5 เทอม 2 เหมือนช่วงนั้นพวกไอจี เฟซบุ๊กของเด็กสถาปัตย์จะชอบถ่ายรูปตึกรามบ้านช่องกัน  เราก็เลยรู้สึกว่า อยากมีสักรูปที่เป็นของตัวเอง ก็เลยลองหาอะไรที่อยู่ใกล้ตัว คือในห้องเรามันจะมีหน้าต่างอยู่แค่บานเดียว พอเปิดดูจะเจอมุมนี้พอดีก็เลยเริ่มถ่ายลงอินสตาแกรม พอถ่ายไปเรื่อยๆ เพื่อนก็เริ่มสงสัย แบบเฮ้ย เอ็งถ่ายอะไรวะ เราก็ไม่อยากให้เพื่อนบ่นเลยเปิดเป็นอินสตาแกรมแยกเหมือนแกลอรี่ส่วนตัวอะไรอย่างนี้

ยูเซอร์ t_047 นั้นได้แต่ใดมา

ช่วงที่ตั้งชื่อนี้ยูเซอร์เนมมันต้องตั้งเป็นภาษาอังกฤษ ก็เลยคิดว่าเราน่าจะมีชื่อแกลอรี่อะไรบางอย่างที่มีความหมายเชื่อมกับตัวเอง ช่วงนั้นอินกับหนังเรื่องนึงพอดี เรื่อง “แต่เพียงผู้เดียว” ของพี่คงเดช  จาตุรันต์รัศมี แล้วหนังมีชื่อภาษาอังกฤษว่า P-047

มันเล่ากี่ยวกับความทรงจำ เรื่องราว การบันทึกอะไรสักอย่าง เราก็เลยเอาชื่อภาษาอังกฤษมาใช้แล้วเปลี่ยนจากตัว P เป็นตัว T ที่เป็นชื่อเล่นของเรา ก็เป็นที่มาของชื่อ T_047

แรงผลักดันที่ทำให้มีวันนี้

ถ้าการถ่ายภาพไม่ได้มีแรงผลักดันอะไรเลย ไม่มีคนที่เป็นไอดอล แต่ถ้าเป็นเรื่องของมุมมองในชีวิตก็มี พี่เล็ก ฮิวโก้ พี่ต่อ ธนญชัย ผู้กำกับโฆษณา เขาจะเก่งด้านการสื่อสารมาก เราก็ดูงานพี่ต่อมา แล้วก็มีพี่ตั้ม วิสุทธิ์เอาจริงเราว่าพี่ตั้มเป็นคนที่มีอิทธิพลต่องานของเรามากที่สุด พี่ตั้มเขาเขียนการ์ตูนมะม่วงใช่ปะ การ์ตูนยุคนั้นมันวุ่นวายไปหมด เขาก็เลยวาดมะม่วงเพื่อเป็นเหมือนที่พักสายตาของผู้คน เราเลยอยากทำตรงนี้ให้เป็นพื้นที่ที่แบบ เฮ้ยคุณไม่ต้องสนใจว่ามันมีจะมีการเมืองหรือไม่มีการเมือง จะไม่มีเรื่องของธุรกิจหรือจะไม่มีอะไรเข้ามา ในเมื่อคุณเข้ามาในพื้นที่อินสตาแกรม  คุณจะได้เห็นความสบาย ผมจะไม่พูดถึงการเมืองไม่วิพากษ์วิจารณ์ข่าว ไม่แซวไม่อะไรใครทั้งนั้น จะเป็นเรื่องของความรู้สึก ณ ปัจจุบันล้วนๆ

ลงภาพแบบเรียลไทม์เลย?

ใช่ เปิดกล้องจากอินสตาแกรมก็ถ่ายเลย มันสต๊อกไม่ได้หรอกเพราะหลักฐานมันอยู่บนท้องฟ้าถ้าลงแล้วมันไม่ใช่ท้องฟ้าในวันนั้นคนก็รู้

เทคนิคการถ่ายภาพ

เอาจริงช่วงแรกมันเบี้ยวนะ ไม่ตรงกันเลย แล้วพอช่วงที่อินสตาแกรมมันมีกริดไลน์ ขึ้นมาให้หลังจากช่วงนั้นมันก็ง่ายขึ้นเยอะเลยเพราะว่าเราจะจำได้ว่าหน้าต่างต้องอยู่ ณ เส้นนี้ อะไรต้องอยู่ตรงเส้นไหน มันก็จะค่อยๆ ตรงมากยิ่งขึ้น

ที่มาของแต่ละแคปชั่นล่ะ

มาจากทั้งความรู้สึก ทั้งสิ่งที่คนรอบข้างพูดด้วย หรืออย่างเวลาที่ไปดูหนังแล้วคิดอะไรขึ้นมาในหัวได้ก็จะเอามา เพราะเราจะมีสมุดบันทึกไว้เขียนความรู้สึกอยู่แล้วแต่อยู่ที่ว่า ณ เวลาตอนที่ถ่ายเรากำลังจมอยู่กับเรื่องอะไร กำลังอินเลิฟกับอะไรหรือเปล่า

นี่แหละภาพที่เป็นที่สุดของฉัน

เป็นภาพสายรุ้ง คือตอนที่เริ่มถ่ายเราเคยคิดกับตัวเองว่าถ้าวันหนึ่งมันมีสายรุ้งขึ้นที่มุมนี้มันน่าจะเป็นรูปที่น่าจดจำ แล้วช่วงที่เรากำลังรอผลแอดมิดชั่น ก็เครียดมากกลัวไม่ได้มหาลัย พอเปิดหน้าต่างไปดูปุ๊บ เจอมุมนี้ แบบท้องฟ้ามันให้กำลังใจเราว่ะ สุดยอดเลย ก็เลยเป็นรูปที่ชอบที่สุด ทำให้จำโมเมนต์วันนั้นได้ว่าเราเครียดยังไงพอเปิดไปแล้วเรารู้สึกดีขนาดไหน

ให้ความหมายแต่ละช่วงเวลายังไง

ช่วงเช้ามันคือช่วงของการเริ่มต้น มันจะมีแคปชั่นนึง ที่บอกว่า

“คุณก็แค่เริ่มต้นในทุกวันด้วยความรู้สึกดีๆ ก่อน”

เราว่าท้องฟ้าตอนเช้าทำหน้าที่นั้น ก่อนจะออกไปทำงานก็มองแล้วคิดว่าวันนี้จะรู้สึกอะไร ถ้าวันนี้รู้สึกดีก็จบออกไปทำงาน

ตอนกลางวันเรามองว่าคือความเป็นจริงมาก ฟ้าจะธรรมดา เมฆจะวุ่นวายมากแต่มันอยู่ที่ว่าเราจะเอาตัวเองไปอยู่ในจุดไหน

ตอนเย็นมันคือรางวัล มันคือของขวัญที่พอจบจากทั้งวันมาปุ๊บ มาดูท้องฟ้าตอนเย็น เราพอแล้วเรานิ่งแล้ว

กลางคืนมันคือความสงบ เพราะท้องฟ้าไม่มีอะไรเลย มีพระจันทร์ดวงเดียว มีตัวเราอยู่คนเดียว ฉะนั้นพักทุกอย่างไม่ต้องคิดไม่ต้องอะไร นอน

ถ้าเปรียบอารมณ์ตอนนี้กับรูปภาพสักรูปของเรา 

เราว่าช่วงพระอาทิตย์ขึ้น 6-7 โมง เพราะเหมือนเป็นช่วงที่ไม่รู้เลยว่าสภาพอากาศจะเป็นยังไง เหมือนเราไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ก็มีความตื่นเต้น สวยงามในช่วงเวลาของมัน

รู้สึกว่าตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่คลุมเครือที่สุด

ไม่รู้ว่าหลังจากนี้อีก 1 ชั่วโมงฝนจะตกหรือเปล่า หลังจากนี้แดดจะออกหรือจะยังไง เพราะตอนนี้เราอยู่ในช่วงชีวิตที่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ได้ลองมี Exhibition แต่ก็ไม่รู้ว่า หลังจากจบ Exhibition นี้ไปชีวิตเราจะไปเจอกับอะไร เจอกับใครบ้าง

อะไรที่ทำให้คนติดตามเราเยอะ

คนชอบความจริง เราเป็นคนเขียนเก่ง เก่งกว่าที่เห็นในแคปชั่นอีกนะ เราสามารถเขียนอะไรก็ได้ที่ทำให้คนแชร์เป็นพัน เป็นหมื่นทำได้ไม่ยากเลย เพราะเรียนโฆษณามาด้วยแหละ แต่งานของเราพยายามควบคุมให้สิ่งที่เขียนเป็นสิ่งที่ออกมาจากความรู้สึกจริง อะไรที่มันมากกว่าความรู้สึกจะไม่เขียน ถ้ารู้สึกแค่นี้เขียนเท่านี้ จะไม่เขียนให้คนแชร์ เราว่าคนจะรู้สึกได้ว่าเราเขียนจากความรู้สึกจริงๆ ไม่ได้ต้องการยอดฟอลหรือว่ายอดไลค์อะไรมากมาย

คิดว่าลูกเพจจินตนาการว่าเราเป็นคนยังไง

จากที่เห็นนะ เขาคิดว่าเราเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างอบอุ่น โรแมนติก มั่นคง แต่สิ่งนี้แหละที่อยากจะบอกว่า จริงๆตัวตนเรามันไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมดหรอก ไม่ได้คนอบอุ่นโรแมนติกทั้งหมดอ่ะ เราก็เป็นคนดิบเถื่อนทั่วไป  แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่อยู่มันเฟคหรืออะไรนะ แค่คนที่ถ่อยๆคนนึง มันต้องมีสักมุมนึงที่เป็นมุมโรแมนติกหรืออ่อนไหวกับอะไรสักอย่าง เราถ่ายทอดออกมาผ่านมุมนี้แล้วคนก็ให้ความสนใจผ่านมุมนี้มากกว่า จริงๆเราก็มีช่องทางที่เราแสดงออกถึงความรุนแรงอยู่ แค่คนไม่ได้เห็นไม่ได้สนใจเท่านั้น 5555

กลับกันบ้างถ้าเราเป็นลูกเพจจะมองบ้านข้างๆ เป็นยังไง

ถ้าเราเห็นอินสตาแกรมนี้โดยที่ไม่ได้รู้จักอะไรมาก่อน จะมองว่ามันเป็นเรื่องของระยะเวลา เราเห็นคนคนหนึ่งที่อยู่ ณ ที่เดิมมาเป็นเวลานาน ความน่าสนใจมันอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลง ในช่วงที่ผ่านมาเขาได้เปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง อยากจะรู้ว่า ต่อไปในอนาคตเขาจะเปลี่ยนแปลงไปในทางไหน เขาจะไปเจออะไร ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ตัวเราในฐานะที่เป็นคนทำก็อยากรู้ว่าในอนาคตเราจะเป็นยังไง 10 วันหลังจากนี้อาจจะตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึก ฉันไม่อยากถ่ายแล้วอะ ฉันหมดอะไรจะพูดแล้ว มันเป็นเรื่องของปัจจุบันล้วนๆ เลยไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

แล้วจะฟอลโล่วตัวเองไหม

ฟอลโล่วนะ งานเราก็ต้องชอบหรือเปล่า (หัวเราะ)

ตัวตนของ “T_047” กับ “ตูน ณัฐธีร์” เหมือนกันไหม

T_047 เป็นส่วนหนึ่งของตูน ณัฐธีร์ เราว่าตูน ณัฐธีร์มีหลายมิติมาก ใน T_047 มันคือความมั่นคง มันเป็นพื้นที่ที่เขาปล่อยวาง ไม่คิดอะไรเลย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยังมีมุมที่คิดมาก aggressive กับโลก เกลียดโลก เกลียดสังคม อะไรแบบนี้มีหมด แต่เราแค่ไม่ได้แสดงออก เราเก็บไว้กับตัวเอง บางเรื่องเราก็เลือกที่จะบันทึกไว้ในสมุดตัวเอง อย่างเราเกลียดรัฐบาลแต่ทุกอย่างไม่ต้องแสดงออกหรอก เพราะเรารู้ว่าอะไรที่แสดงออกมาแล้วเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนรวม การที่เราโพสต์เฟซบุ๊กด่ารัฐบาลมันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 

ความคิดที่จะหยุดถ่ายภาพ

เราเคยหายไป 3 เดือน ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตดาวน์ เศร้ามาก ก็ไปเคลียร์ชีวิตตัวเองแล้วค่อยกลับมา เรามองว่าตอนนี้คนที่ติดตามมีหลายวัย หลายอายุถ้าเราดาวน์มากๆ ก็จะไม่พยายามที่จะโยนความรู้สึกแย่ๆ ของเราไปให้คนที่ติดตาม ถ้าความรู้สึกแย่ๆ มันเริ่มมาก็จะพักก่อน

ความรู้สึกที่ได้ถ่ายภาพในวันนั้นกับวันนี้ยังคงเหมือนเดิมไหม

ตั้งแต่เริ่มมันเป็นพื้นที่ที่เราได้ระบายความรู้สึกบางอย่างลงไป ถามว่าตอนนี้กับตอนนั้นมันเหมือนกันไหม มันไม่เหมือนด้วยเรื่องราวที่พบเจอในชีวิต ประสบการณ์ที่มากขึ้น ณ ตอนนั้นเรามองท้องฟ้าแบบหนึ่ง พอมาถึงวันนี้มันมีชุดความคิดอะไรบางอย่างที่มากขึ้นทำให้เราเห็นอะไรมากขึ้นในภาพมุมเดิม

แล้วความรู้สึกที่อยากจะถ่ายทอดออกไปล่ะ ยังเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า

จริงๆ ตอนแรกที่เราถ่ายมันคือการพูดกับตัวเอง เหมือนการบันทึกไดอารี่ แต่พอวันหนึ่งมันมีคนที่เข้าติดตามความคิดของเรา เข้ามาแชร์ เข้ามาแสดงความคิดเห็น มันก็รู้สึกว่ามีคนที่เขารู้สึกแบบเดียวกับเรา ข้อความมันก็ไม่ต่างจากเดิม มันคือสิ่งที่อยู่ในใจเรา คือหลักๆ ก็จะยังอยู่ที่การพูดถึงความรู้สึกตัวเอง แต่ก็มีบางรูปที่เราอาจจะสื่อสารกับเขาบ้าง อยากถามว่าคุณสบายดีไหมเป็นไงบ้าง

บ้านนี้ให้อะไรกับเราบ้าง

 

มันทำให้เห็นตัวเองมั้งเราว่า สิ่งแรกที่เห็นคือฟ้าเปลี่ยน สีบ้านก็เปลี่ยน แล้วตัวเราก็เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม บรรยากาศแล้วก็ระยะเวลา นั่นคือสิ่งที่เราได้ มันคือที่เดียวที่เราอยู่และทำให้เราได้หยุดคิด ได้เห็นอะไรมากยิ่งขึ้น แล้วก็ได้เพื่อนที่มองในสิ่งเดียวกัน มาอยู่ในที่แห่งเดียวกัน และพยายามอยากจะบอกว่าไม่ว่าแต่ละคนจะเป็นยังไง สุดท้ายเราก็อยู่ใต้ท้องฟ้าเดียวกัน ควรจะทำดีให้กัน

งานอดิเรกของตูน ณัฐธีร์

เล่นดนตรี เลี้ยงแมว เขียนเพลง ก็จะมีเพลงในโปรเจคนี้ด้วยชื่อว่า T_047 นั่นแหละเพลงมันคือสิ่งที่ทำหน้าที่เล่า สิ่งที่ภาพหนึ่งภาพ หรือแคปชั่นไม่สามารถเล่าได้ เพลงมันจะมีแมสเสจที่ยาวกกว่า นั่นแหละเป็นที่มาของการทำเพลงของเรา นอกจากถ่ายรูปก็ทำเพลงอย่างเดียวเลย แต่ก็จะมีออกไปเที่ยวบ้างอะไรบ้าง

ได้ยินว่านอกจากบ้านข้างๆ ก็มีแมวข้างๆ ด้วย

ไม่มีอะไรเลยแค่เลี้ยงแมว อยากทำไอจีให้แมว แต่ไม่รู้จะตั้งชื่อยูเซอร์ว่าอะไร เลยคิดว่าในเมื่อเรามีบ้านข้างๆที่เป็น T_047 แล้วแมตตี้มันก็เหมือนเป็นแมวที่คอยอยู่ข้างๆเราตลอดก็เลยใช้ชื่อ MT_047 ไป ยอดฟอลโลมันจะเยอะกว่าไอจีเราแล้วอ่ะ

แรงผลักดันในชีวิต

เอาจริงค่อนข้างมีตัวเองเป็นแรงบันดาลใจ เราชอบแบบที่เราเป็นมาก แล้วจะไม่พยายามที่จะเป็นใคร

พอมันไม่พยายามที่จะเป็นใครมันสบาย

ไม่ต้องรู้สึกว่า จะต้องมีชื่อเสียงเหมือนคนนี้ ต้องเท่ในสายตาคนอื่นเหมือนคนนี้ เราจะไม่กดดัน ไม่เอาอะไรมาทำร้ายความรู้สึกของตัวเอง

แรงบันดาลใจในแต่ละผลงาน

ไม่แน่ใจว่าใครเคยพูดว่า เขียนเท่าที่รู้ เขียนเท่าที่รู้สึก ก็เหมือนกับเขียนแคปชั่นแหละ รู้สึกเท่าไหนก็เขียนเท่านั้น เพลงอยากจะพูดแค่นี้ ฉันรู้แค่นี้ ฉันเข้าใจแค่นี้ ฉันก็จะเล่าแค่นี้ อย่างสีของฟ้า เราตั้งใจจะเล่าคอนเซปเและ message ออกไปว่า ฉันทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความรู้สึกอะไร มันก็เลยเป็นสีของฟ้าที่อยากจะบอกว่าสีของฟ้ามันไม่เคยแน่นอนก็แค่เก็บทุกวันที่ดีไว้ในความทรงจำ

อยากจะทำอะไรต่อไปในอนาคต

เอาจริงเราเป็นคนไม่ตั้งเป้าหมายใดๆ เลย สมมติตั้งเป้าใกล้ๆ แบบเดี๋ยวตอนเย็นไปกินก๋วยเตี๋ยวตรงร้านปากซอย แต่ระหว่างทางเดินเจอร้านอื่นก็เปลี่ยนใจ เส้นทางมันเปลี่ยนไปหมด งั้นไม่ตั้งเป้าหมายอะไรเลยดีกว่า แต่ไม่ได้รู้สึกว่าการตั้งเป้าหมายมันจะไม่ถูกนะ คนที่ตั้งเป้าหมายในชีวิตแล้วพุ่งไปมันก็เป็นรื่องที่ดี แต่สำหรับเราการที่มาถึงตรงนี้ได้ มี Exhibition นี้ได้ เราไม่ได้คิดอะไรเลย เราไม่ได้ตั้งเป้าอะไรเลย ค่อยๆให้มันไป เหมือนบางคนจะตั้งคำถามว่า อนาคตจะเป็นยังไง อนาคตอยากจะได้อะไร แต่หลายคนก็ไม่ได้ตั้งคำถามกับปัจจุบันว่า ณ ตอนนี้อยากเป็นอะไร แล้วอยากได้อะไร สำหรับตัวเราจะตั้งคำถามแค่นี้เลยว่า ตัวฉันปัจจุบันนี้อยากได้อะไร  ตัวฉันในตอนนี้อยากจัด Exhibition อ่ะจัดเลย แล้วไม่ต้องคิดว่าในอนาคตฉันจะไปจัดที่เกาหลีอะไร เพราะมันยังมาไม่ถึง  อะไรที่ทำได้ก็ทำไปก่อน

 

 

อัปเดตผลงานตอนนี้กันหน่อย

มี Exhibition บ้านข้างๆ นี้อยู่ เพลงก็มีเพลงใหม่ที่เพิ่งปล่อยแต่เราจะไม่ได้ฟิกซ์ว่าเดี๋ยวจะต้องทำเพลงเรื่อยๆ นะถ้ามีเรื่องอยากจะเล่าก็ค่อยทำ แล้วก็มีเพลงอีกวงหนึ่งชื่อว่าวงเยิ้ม อันนั้นอะเป็นช่องทางที่แสดงความ aggressive ในตัวของเรา เนื้อหาจะแบบว่าค่อยข้างรุนแรง ความรู้สึกจ๋า ๆ เลยเหมือนมันจะเป็นสมดุลชีวิต เราทำอีกวงเพื่อให้มันออกถึงความรุนแรง และก็อีกมุมหนึ่งที่เราเบา ไม่คิดอะไร มีเท่านี้มั้งผลงาน ก็ไม่ค่อยทำไรเยอะ เพราะเพิ่งเรียนจบ

แล้วตอนนี้บ้านข้างๆ เขารู้ยังว่าดังแล้ว

เราก็ไม่รู้ว่าเขารู้แล้วเงียบหรือว่ายังไม่รู้ เพราะบางทีอาจจะไม่เคยเห็นบ้านตัวเองในมุมนี้ สมมติเราเห็นด้านหลังของบ้านตัวเอง เราก็อาจจะจำไม่ได้เหมือนกันว่ามันคือบ้านเรา  แต่ถ้ารู้เดี๋ยวเขาคงมาบอกเองแหละ คงไม่ไปบอกว่าผมถ่ายบ้านคุณ มา 5-6 ปีแล้วนะ เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเข้าใจ อาจจะมองว่าเราเป็นโรคจิตไปเลยก็ได้ (หัวเราะ)

สำหรับใครที่สนใจอยากติดตามผลงานของตูน ณัฐธีร์แบบใกล้ชิดก็สามารถไปเป็นเพื่อนบ้านข้างๆของเขาได้ที่ 10ml. cafe gallery กับนิทรรศการ Sky of life An exhibition by บ้านข้างๆ ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน – 18 กรกฏาคมนี้จ้า


อยากให้เพื่อนได้อ่าน แชร์เลย


Comments

Share This Articles
ใส่คีย์เวิร์ดแล้วกด Enter เลย