Now Reading:

อิ้งค์ วรันธร กับซิงเกิลใหม่ที่มายืนยันว่าความลับมีในโลก

“มันเกี่ยวกันไหม ที่เธอได้เดินเข้ามา ที่เธอได้มาสบตา ตัวฉันถึงเป็นแบบนี้…”

ทำนองเพลงซินธ์ป๊อปกับเสียงใส ๆ ที่ได้ยินทีไรก็จะรู้สึกเฟรชอยากลุกขึ้นมาเต้นทันที เพลงที่ทำให้นึกถึงสมัยวัยเรียนกับความรักแบบป๊อปปี้เลิฟ ฟังแล้วเขินไปตาม ๆ กัน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพลงนี้มันรีเพลย์วนลูปติดอยู่ในหัวของเราอยู่เสมอ ซึ่งเจ้าของเพลงนี้ทำคนเกือบทั้งประเทศตกหลุมรักในเนื้อเสียง ความสดใสร่าเริงของเธอเข้าไปแล้วเต็ม ๆ และล่าสุด อิ้งค์ วรันธร เปานิล เจ้าของเพลงที่ว่า ก็ได้ปล่อยซิงเกิลใหม่ “ความลับมีในโลก” ให้เราล่องไปกับเสียงของเธออีกแล้ว! อาจสงสัยกันว่า เอ๊ะ ทำไมไม่เป็นความลับไม่มีในโลก เรามาถามอิ้งค์และรู้จักตัวตนของสาวคนนี้ รวมถึง “หมูแดง” เครื่องดนตรีที่อิ้งค์รักมากที่สุดกัน

อิ้งค์ วรันธร

ใครที่ติดตามวงการเพลงสไตล์ป๊อปบ้านเรามาเรื่อย ๆ คงคุ้นหน้าของสาวอิ้งค์ วรันธรอยู่ไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็นเพลงซินธ์ป๊อปจากค่าย BOXX MUSIC หรือว่าเพลงป๊อปสดใสวัยเด็กในฐานะหนึ่งในนักร้องเกิร์ลกรุ๊ปจาก Chilli White Choc คราวนี้อิ้งค์ วรันธรมาพร้อมกับเพลงใหม่ล่าสุดที่เติมกลิ่นอายความโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดลงไปทั้งในฝั่งของเนื้อร้องและในฝั่งของดนตรี

อิ้งค์ วรันธร เปานิล เป็นสาวน้อยวัย 24 ปีที่จบด้านดนตรีโดยตรง จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในสาขาดุริยางคศิลป์ตะวันตก เอกวอยซ์ และที่สำคัญร้องโอเปร่าด้วย นอกเหนือจากเพลงใหม่ของเธอที่น่าสนใจ เรื่องราวการทำงาน สิ่งที่เธอเลือกเรียน และวิธีคิดของเธอก็น่าสนใจอย่างปฏิเสธไม่ได้ และเราก็ไม่อยากให้คนอ่านพลาดการทำความรู้จักกับสาวคนนี้เลย พร้อมแล้วมาพบกับบทสัมภาษณ์ของอิ้งค์ วรันธรกับซิงเกิลใหม่ “ความลับมีในโลก”

อิ้งค์ วรันธร

อิ้งค์ วรันธร

ทำไมอิ้งค์เลือกเรียนด้านดุริยางคศิลป์ตะวันตกโดยตรง

เพราะว่าจริง ๆ ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ แล้วก็ตอนเลือกเข้ามหาลัย แม้กระทั่งเลือกแผนการเรียนตอนมัธยมปลาย ก็เลือกดุริยางค์ตะวันตกมาเรื่อย ๆ เหมือนเราชอบศึกษาเกี่ยวกับการร้องเพลง ชอบร้องเพลง ก็เลยรู้สึกว่า เอออยากเรียนอย่างจริงจังในตอนมหาลัย ก็เลยเลือกเรียนสาขานี้ค่ะ

จำได้ไหมว่าเราชอบร้องเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่

ชอบร้องเพลงประมาณ 6-7 ขวบ เริ่มแรกเลยก็คือชอบร้องเพลงในรถกับคุณพ่อก่อน พอหลังจากนั้นคุณพ่อก็เลยถามว่าอยากเรียนร้องเพลงไหม ก็บอกว่าอิ้งค์อยากเรียน ก็เลยได้ไปเรียนร้องเพลงอย่างจริงจังตอน 7 ขวบค่ะ

เท่ากับว่ามีคุณพ่อเป็นไอดอล

ใช่ค่ะ คือคุณพ่อเป็นนักร้องวงดนตรีของรร.ตอนมัธยม ก็หลังจากนั้นคุณพ่อก็ไม่ได้สานต่อเรื่องการร้องเพลงอีกเลย เพราะต้องทำงาน พอมีลูกก็เลยแบบว่า อยากทำอะไรก็จะสนับสนุนหมดเลย

นอกเหนือจากนักร้องแล้วอิ้งค์ทำอะไรอยู่บ้าง

ตอนนี้หลัก ๆ เลยคือทำเป็นศิลปิน แล้วก็มีเป็นดีเจบ้าง วันอาทิตย์ ทาง Cat Radio ค่ะ

ความเป็นดีเจกับการร้องเพลงมันเกี่ยวกันแค่ไหน

จริง ๆ มันเกี่ยวข้องตรงที่เป็นเพลงเหมือนกัน แต่ว่าอาจจะมีเรื่องของการฝึกพูด จริง ๆ แล้วเป็นคนพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่ว่าพอการเข้าไปทำดีเจ ทำให้เราต้องฝึกฝนการพูดคนเดียวให้มาก ๆ ไม่งั้นพูดไม่รู้เรื่อง เพราะเปิดไมค์ปุ๊บเราก็ต้องพูดเลย ก็อาจต้องมีทำการบ้านเพิ่มเติมว่า อาทิตย์นี้อยากพูดเรื่องอะไร อยากฟังเพลงอะไร จะพูดเข้าเพลงยังไง แต่ว่าก็อาจจะล้ิงก์กันในเรื่องของเสียงเพลงอะค่ะ

จุดเริ่มต้นของการเป็นศิลปินเดี่ยว

อิ้งค์ได้รู้จักกับพี่โอ๊บ (เพิ่มศักดิ์ พิสิษฐ์สังฆกร) วงไทม์ (Time) ตั้งแต่เด็กมาก ๆ สมัยป.1 ป.2 เลย แล้วก็มีโอกาสได้ร้องเสียงคอรัสให้กับวงไทม์ (Time) แล้วก็พี่โอ๊บจะเรียกไปร้องเสียงคอรัสให้กับเพลงต่าง ๆ ที่เป็นเสียงเด็ก จนกระทั่งโตขึ้นมา จนวันนึงเรากำลังจะเรียนจบที่คณะศิลปกรรมศาสตร์เนี่ยค่ะ พี่โอ๊บก็จะเริ่มทำค่ายเพลงกับพี่พล วงแคลช (Clash) พอดี ค่าย BOXX MUSIC นี่แหละค่ะ แล้วเขาก็มาถามเราว่า เรายังมีความฝันอยากทำเพลงอยู่ไหม เราก็บอกว่าอยากทำ เราก็เรียนด้านร้องเพลงมา เราก็รู้สึกว่าตรงสาย ก็เลยเลือกมาทำค่าย BOXX MUSIC ค่ะ

ชอบการเป็นศิลปินเดี่ยวหรือกลุ่มมากกว่ากัน

จริง ๆ มันก็มีความสนุกคนละแบบ ความยากง่ายคนละแบบ ถ้าถามอิ้งค์ ตอนวัยเด็ก ๆ ของเรา การเป็นศิลปินกลุ่มคืออะไรที่สนุกมาก แต่ว่าพอเราโตขึ้นมา เราทำงานเดี่ยว มันก็สนุกอีกแบบ แล้วมันก็มีความท้าทาย มีความยากตรงที่ทุกอย่างมันจะต้องเป็นเราคนเดียวบนเวที อิ้งค์ว่าเราสามารถเอ็นจอยกับทุกอย่างได้ ถ้าเป็นสิ่งที่เราชอบไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหรือเดี่ยว

อนาคตยังลองทำวงของตัวเองไหม

อาจจะยังไม่มีนะคะ ตอนนี้ทำศิลปินเดี่ยวอยู่ใช่ไหมคะ ก็รู้สึกว่าเอ็นจอยกับมันนะ จะดำเนินรอยตามอันนี้ไปก่อนเรื่อย ๆ

ชอบแนวเพลงแบบไหน แบบ Synth Pop ที่ร้องอยู่ตอนนี้ไหม

Synth Pop เป็นแนวที่อิ้งค์เริ่มฟังเมื่อประมาณปี 3 ปี 4 แบบขับรถอยู่แล้วก็เปิดแอปให้มันวนเพลงไปเรื่อย ๆ แล้วอยู่ ๆ ก็เป็นเพลงของวง Electic Youth ขึ้นมา ก็ทำให้อิ้งค์รู้สึก เอ้ย สนใจแนวนี้มาก แล้วก็เริ่มหาฟังแนวนี้เรื่อย ๆ แล้วก็ ตอนที่มาทำเพลง ก็เอาแนวนี้มาลองคุยดูว่า เราอยากทำแนวนี้ คือจริง ๆ อาจเพราะว่าเราชอบฟังมาก่อนแหละ เลยอยากนำเสนอแนวเพลงแบบนี้ให้คนฟัง

ถ้าเลือกเพลงของตัวเอง 1 เพลง ที่คิดว่าอธิบายความเป็นอิ้งค์ได้ดีที่สุด จะเลือกเพลงอะไร

น่าจะเป็น Snap นะคะ จริง ๆ ทุกเพลงมันมีความเป็นอิ้งค์หมดเลย เพราะว่ามันเหมือนแต่ละเพลงมันมาจากตัวเรา จากคนรอบข้างเรา เป็นเนื้อหาที่เรารู้สึก เราสามารถพูดได้ แล้วก็เป็นอะไรที่ไม่เกินความเป็นตัวเอง แต่ที่เป็นเพลง Snap เพราะว่ามันมีความสนุกสนานอยู่ในตัว มีสีสัน และก็เรื่องของดนตรีมันก็จัดจ้านมาก แต่ในเรื่องของเนื้อหามันเป็นเรื่องแอบรัก มีความสุขก็จริง แต่มันแฝงความเศร้าไว้

คือความรักที่เป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ได้บอกว่าตัวเองจะเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้นะ อาจจะเป็นคนที่ดูภายนอกที่มีความสนุก สดใสร่าเริงปกติ แต่จริง ๆ ก็มีมุมอื่นในชีวิต ก็มีมุมที่เราแบบมีความเศร้า ความเครียด ความกดดัน หลาย ๆ อย่าง คือแบบเพลงนี้อาจจะมีทุกมุมในตัวอิ้งค์เอง

เครื่องดนตรีที่ชอบที่สุด

ชื่อ “หมูแดง” ค่ะ เป็นคีย์บอร์ดซิน สีแดง อันเล็ก ๆ ค่ะตัวนึง คือจริง ๆ แล้วมีพื้นฐานด้านการเล่นเปียโนมาบ้าง แล้วก็ไม่ได้มีเครื่องดนตรีที่จะต้องพกไปไหนทุกที่ขนาดนี้ แล้วอันนี้มันเป็นเครื่องดนตรีที่ชิ้นแรกที่อยู่กับอิ้งค์มาตั้งแต่วันที่อิ้งค์เริ่มทำเพลง จนทุกวันนี้ ก็ยังขนหมูแดงไปด้วยทุกที่ตลอดเวลาไปเล่นคอนเสิร์ต ก็รักที่สุดแล้วค่ะ

ทำไมถึงชื่อหมูแดง

เพราะว่า เป็นคนชอบสีแดงมาก ๆ หนึ่งเลยนะคะ แล้วก็อันนี้เป็นเครื่องดนตรีอันแรกของเรา แล้วมันจะมีแถบเปียโน แถบคีย์ที่เป็นสีขาวใช่ไหมคะ แล้วก็มีตัวบอดี้ที่เป็นสีแดง แล้วตอนแรกที่เห็นก็คืออยากให้ชื่อหมูแดงมาก ๆ เพราะว่ามันดูเหมือนหมูแดง

แล้วอีกอย่างอิ้งค์มีสุนัขที่บ้านชื่อหมูทอง แล้วก็รู้สึกว่ามันดูหมู ๆ เหมือนกัน ก็เลยตั้งว่าหมูแดง และล่าสุดก็มีไมค์ชื่อว่าหมูขาว อะไรแบบนี้อะค่ะ ก็จะตั้งอะไรที่ไม่ค่อยเหมือนกันอะค่ะ แต่ก็จะตั้งชื่อให้มัน

ศิลปินไทยคนไหนที่อิ้งค์อยากร่วมงานด้วย

พี่เบิร์ด ธงไชย กับพี่ปาล์มมี่ค่ะ รู้สึกว่าพี่สองคนนี้ สำหรับเราเราโตขึ้นมากับการร้องเพลง การชอบร้องเพลงใช่ไหมคะ แล้วเพลงของพี่เค้ามันอยู่ในทุกช่วงวัยของเราเลยอ่ะ พอเราโตขึ้นมามันก็เลยแบบมีทั้งช่วยสอนเรา และทำให้เราฝึกฝนไปด้วย และอีกอย่างคือพี่ ๆ เค้าเหมือนเป็นแรงบันดาลใจ อยากเป็นแบบเหมือนพี่เขาสักวันหนึ่ง อย่างพี่เบิร์ด เวลาเราได้ดูสัมภาษณ์ของพี่เขา การเล่นคอนเสิร์ตของพี่เขา มันจะรู้สึกว่าทำไมคน ๆ นี้มีพลัง มีพลังบวกในการทำงานเยอะขนาดนี้ บางทีเราเครียดกันงานบ้าง กดดันตัวเองบ้าง อิ้งค์ก็เคยดูบทสัมภาษณ์ของพี่เบิร์ด แล้วมันรู้สึกว่าอิ้งค์หายเฟลเลยอะ เหมือนกับว่าเพลงที่เขาส่งมามันมีพลังมาก แล้วเขาก็ดูรักที่จะอยู่ตรงนี้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตถ้ามีโอกาสก็อยากร่วมงานค่ะ

คนเราในทุก ๆ ช่วงปีผ่านไปก็จะมีหลาย ๆ อย่างในชีวิตที่เปลี่ยนไป

อิ้งค์ วรันธรจากเพลง “เหงา เหงา” กับเพลงล่าสุด มีความแตกต่างกันยังไงบ้าง

อิ้งค์ว่า “เหงา เหงา” อาจจะเป็นเพลงแรกตั้งแต่เข้ามาทำเพลง แล้วทุกวันนี้มันผ่านมา 3 ปีแล้ว คนเราในทุก ๆ ช่วงปีผ่านไปก็จะมีหลาย ๆ อย่างในชีวิตที่เปลี่ยนไป แนวเพลง สไตล์เพลง หรือการแต่งตัวที่เปลี่ยนไป คือสำหรับเพลงปัจจุบันที่กำลังปล่อยออกมา เป็นเพลงที่อิ้งค์ว่ามันเป็นตัวอิ้งค์ในปัจจุบันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา สไตล์ดนตรี การแต่งตัว คือเหมือนเด็กประถมขึ้นประถมปลาย มอต้นขึ้นมอปลาย มันจะมีความไม่ได้เปลี่ยนไปมาก แต่มีอะไรบางอย่าง ในความคิดของตัวเองเปลี่ยนไป ซึ่งเพลงนี้ เนื้อหาความลับมีในโลกใช่ไหมคะ มันก็เป็นเนื้อหาที่ จริง ๆ แล้ว ก็คือการแอบรักเนี่ยแหละ การที่เราไปแอบรักคนคนนึง แต่วิธีการเล่าหรือว่าการร้องหรือว่าสไตล์ดนตรีต่าง ๆ มันเปลี่ยนไป ดนตรีมันก็ยังมีความเป็นเพลงป๊อป แต่จะไม่ใช่ป๊อปแบบ 80s ที่อิ้งค์เคยทำแล้ว มันจะเป็นซินธิไซเซอร์ที่เป็นยุคปัจจุบันนี้มากขึ้นค่ะ มันอาจจะไม่ดูย้อนยุคแล้ว แต่จะมีความโล่ง ๆ ใช้ซินมาเล่น เพื่อให้มันมีลูกเล่นอื่นมากขึ้น

ส่วนเรื่องการแต่งตัวเมื่อก่อนทุกคนจะเห็นอิ้งค์ใส่ชุดแบบ ไม่ค่อยมีสีมาก มีสีสันน้อย เป็นคนดูมินิมอล ๆ คือทุกวันนี้ก็ยังมินิมอลอยู่แต่ว่า รู้สึกว่าเราอยากมีสีสันเพิ่มขึ้นในการแต่งตัวมากขึ้น เรารู้สึกว่าเราอยากดูโตขึ้นอีกหนึ่งสเต็ปในการแต่งตัวอะค่ะ

อันนี้ก็เป็นเหมือนอีกขั้นที่ทำให้เราปลดล็อคว่าไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ เราทำได้แต่แค่เราชอบหลอกตัวเองว่าเราทำไม่ได้

มีการทำเมโลดี้เองด้วยหรือเปล่า

ใช่ค่ะ ชื่อเพลงว่า “ยังรู้สึก” ค่ะ อยู่ใน EP อัลบั้มที่แล้วค่ะ แล้วก็เป็นเพลงที่ดีมาก เหมือนทำให้อิ้งค์ได้รู้จักตัวเองในอีกมุมหนึ่ง เหมือนตอนแรกอิ้งค์คิดว่าอิ้งค์ไม่สามารถแต่งเพลงได้ ไม่สามารถคิดเมโลดี้ ไม่สามารถแต่งเนื้อร้องอะไรได้เลย คือทุกเพลงมีตัวเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งก็จริง แต่เราแนวออกออกความเห็นแบบเสนอมากกว่า แต่ไม่ถึงขั้นลงมือแต่งเอง อันนี้ก็เป็นเหมือนอีกขั้นที่ทำให้เราปลดล็อคว่าไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ เราทำได้แต่แค่เราชอบหลอกตัวเองว่าเราทำไม่ได้ คือพอมันเข้ามาอยู่ในอัลบั้มจริง มันก็รู้สึกภูมิใจทุกครั้งเลยที่เอาไปเล่น เอาไปร้องค่ะ

แล้วเพลง  “ความลับมีในโลก”  เป็นเพลงแบบไหน มีอินสไปร์มาจากอะไร

เพลงนี้ได้ร่วมงานกับพี่แทน ลิปตาเหมือนเดิมค่ะ แล้วมันก็เป็นเพลงแรกหลังจากปิดอัลบั้มที่แล้วไปแล้ว เรื่องเนื้อหาที่เริ่มทำก็คือไม่รู้จะเอาอะไรมาเขียนดี ก็คือเขียนคอนเทนต์นึงไว้แล้ว แต่มันไม่จบสักที เราก็เลย เอ้ย เลิกเขียนก่อนแล้วกัน มาคุยเรื่องอื่นกัน พี่แทนก็พูดขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่อง พี่เค้าไปเดินซุปเปอมาร์เก็ตมาค่ะ แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งคุยโทรศัพท์แล้วพูดว่า ความลับมันไม่มีในโลกหรอก เหมือนคุยกับเพื่อนอะค่ะ แล้วพี่แทนก็เลยนึกในใจขึ้นมาว่า ความลับมันมีในโลก มันเหมือนเป็นคำที่เอามาล้อเล่นมากกว่าว่าความลับมันมีในโลกนะ ไม่ใช่ไม่มี เราก็บอกพี่แทนว่า คอนเทนต์เนี้ย ดีมากเลย ก็เลยโละอันเก่าทิ้งเลยค่ะ แล้วก็เริ่มเขียนอันนี้ใหม่

จริง ๆ ตอนแรกก็คือคำนี้อ่ะเป็นคำตั้งต้นใช่ไหมคะ แล้วค่อยมาเขียนเนื้อทีหลัง แต่ว่าตอนแรกคิดว่า หรือจะเขียนเพลงเศร้าเลย เศร้าแบบร้องไห้เลย เพราะความลับมันมีในโลกมันก็เป็นเพลงเศร้าได้ หรือจะแอบรักที่มีความสุขอะไรแบบนี้ ก็เลยเอามาตี ๆ กลาง ๆ ก็คือแอบรับที่รู้ว่าบอกไปแล้วจะเสียใจรึเปล่า ก็เลยเก็บเป็นความลับดีกว่า ซึ่งมันก็ดูเป็นตัวอิ้งค์เอง เวลาอิ้งค์มีอะไร ที่ชอบใคร เราก็ไม่กล้าบอกทั้งหมด ชอบเก็บ ๆ มากกว่า ก็เลยกลายเป็นเพลงนี้ขึ้นมา

เนื้อเพลงส่วนมากมาจากอินเนอร์และประสบการณ์เราเอง?

อิ้งค์จะไม่ได้เป็นคนเขียนเนื้อเพลงเองทั้งหมดนะ แต่จะเป็นคนที่นั่งอยู่ด้วยเวลาเขียน แล้วก็จะบอกประมาณว่าคอนเทนต์นี้มันเข้ากับเราหรือไม่เข้ากับเรา หรือว่ามีประโยคไหนที่เราอยากพูดในเพลงบ้าง เราก็จะเขียนไว้ แล้วพี่แทน พี่ข้าว พี่ ๆ เขาจะมานั่งคุยกันแล้วก็อันไหนที่โอเคก็จะหยิบไปใช้ จะเป็นประมาณนี้มากกว่า อย่างเพลงฉันต้องคิดถึงเธอแบบไหน เป็นเพลงของเพื่อนอิ้งค์ คือแต่งจากความรู้สึกของเพื่อนอิ้งค์ เวลาที่เพื่อนชอบมาเล่าหรือปรึกษาปัญหา เราก็รู้สึกว่าคนที่คุยกันทุกวันแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกัน แล้วมันอึดอัดใจนะ มันน่าเขียน ก็เลยเอามาเสนอพี่ ๆ มันจะเป็นอะไรแบบนี้มากกว่า ไม่ได้ถึงขั้นเขียนเอง แต่ก็มีคิดเหมือนกันนะคะว่าอยากเขียนเองบ้าง

โมเมนต์ประทับใจจากแฟนคลับ

คือแฟนคลับอิ้งค์จะเป็นสายแบบน่ารัก อาจจะไม่ได้ตามทุกงาน หรือเอาของมาให้ตลอดเวลาขนาดนั้นอ่ะค่ะ แต่ว่าทุกครั้งที่เค้ามาดู เหมือนเค้าตั้งใจมาดูเราจริง ๆ อ่ะ แล้วมันทำให้เรามีกำลังใจเพิ่มขึ้นทุกครั้ง แล้วก็จะมีคอนเสิร์ตล่าสุดที่เป็นการปิด EP อัลบั้มที่แล้วของตัวเอง ซึ่งงานนั้นเป็นงานที่แฟนคลับทุกคนน่ารักมาก ดีมาก แล้วก็เหมือนเค้ามาดูเราจริง ๆ อ่ะ มันรับรู้พลังได้ มันอาจจะไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับการที่ต้องเอาของมาให้ตลอดเวลา แต่มันเป็นพลังที่เค้าส่งมาให้ อย่างสายตาที่เค้ามองขึ้นมาหาเรา หรือวิธีการแท็กรูป เขียนแคปชั่น อะไรต่าง ๆ มันสื่อได้จริง ๆ ว่าเค้าจริงใจจริง ๆ ที่จะติดตามเราอย่างงี้มากกว่าค่ะ น่ารัก

ย้อนกลับไปสองสามปีก่อน เราได้เห็นอิ้งค์เล่นหนังเรื่อง  SNAP  ตอนนี้อยากกลับมามีผลงานแสดงอีกไหม

ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ คืออันนี้อิ้งค์ก็เคยคิดนะว่าอยากจะเป็นนักแสดงหรือเปล่า เราชอบการแสดงมากเลยนะ แล้วก็ตอนที่ได้เล่น Snap ก็คือชอบมาก แบบเป็นอะไรที่ไม่คิดว่าเราทำได้ แล้วเราทำได้ แล้วมันก็ทำให้เราได้พบเจออะไรต่าง ๆ มากมาย แบบโลกใหม่ คนใหม่เยอะแยะ แล้วก็สนุกมาก แต่ว่าพอเราได้มาทำอาชีพศิลปินที่เป็นหลักอยู่แล้ว หน้าที่หลักที่ไม่มีการเรียน หรือหน้าที่อื่น ๆ เข้ามาแล้ว เหมือนเราได้เข้ามาอยู่ในโลกนี้จริง ๆ แล้ว มันเป็นสิ่งที่เราชอบทำมาตั้งแต่เด็กแล้วเราก็อยากจะทำให้ดีที่สุด ซึ่งก็มีนะคะที่ไปแคสต์อะไรแบบนี้บ้าง แต่ก็ขึ้นอยู่กับโอกาสแล้วกัน ถ้ามันมีโอกาสที่เราสามารถเล่นได้ เข้ากับเรา แล้วก็สามารถทำงานด้านดนตรีที่เราชอบควบคู่ไปได้ อิ้งค์ก็โอเค

ยังอยากโฟกัสกับงานดนตรีมากกว่า?

ใช่ คืออิ้งค์เป็นคนที่ทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกันไม่ได้ แบบเราต้องโฟกัสอย่างเดียวเท่านั้น เราถึงจะทำมันได้ดี จริง ๆ ก็สามารถทำได้นะคะ แต่มันอาจทำได้ดีไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเราร้องเพลง แล้วเรามีโอกาสขนาดนี้แล้ว เราก็ควรที่จะพุ่งไปกับมันที่สุดก่อน

มีอะไรที่อยากทำอีกไหม นอกจากงานเพลงและงานแสดง

เคยคิดว่าอยากเขียนหนังสือค่ะ เป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก แต่การเขียนหนังสือมันต้องมีเรื่องที่จะเขียนก่อน ก็คือเป็นคนชอบเขียนเรื่องสั้นเก็บไว้นะในคอมพิวเตอร์ตัวเอง แต่มันก็ไม่ได้มีแบบอะไรที่เป็นหนึ่งหัวข้อใหญ่สักที มันก็เลยแบบว่ายังไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่เคยคิดไว้ค่ะว่าวันนึงถ้าเราโตขึ้นไป มีประสบการณ์สามารถส่งทอด บอกอะไรใครได้ เราก็อยากจะทำ

ย้อนกลับไปเด็กหญิงวรันธรประมาณสัก 12 ขวบกับตอนนี้ คิดว่าอะไรบ้างในชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป

เยอนะ ตั้งแต่เด็กมาเราชอบร้องเพลง เราอยู่กับมันแล้วมีความสุข เราไม่ต้องคิดอะไรมาก เราร้องเพลง เราขึ้นเวที คุณพ่อคุณแม่ยิ้ม ถ่ายรูปเงี้ย มันเป็นสิ่งที่เริ่มต้นด้วยความสุขมาจริง ๆ พอเราโตขึ้นมาเราเรียนร้องเพลงที่จริงจังมากขึ้น เข้ามหาวิทยาลัยที่ร้องเพลงแบบจริงจังมาก ร้องยากมาก มันเหมือนการร้องเพลงของเรามันค่อย ๆ สอนอะไรเราด้วยแหละ แล้วก็กิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยผ่านมา ประสบการณ์การเรียน การผิดพลาดในชีวิต ความผิดหวังในชีวิต เราอยากทำแบบนี้แต่เรากลับไม่ได้ทำแบบนี้ หรือว่าอะไรต่าง ๆ นานารอบกาย มันก็สอนอิ้งค์ได้ อย่างการร้องเพลงในทุกวันนี้ มันก็ไม่ใช่แค่การรร้องเพลงที่อยากสนุก ๆ ขึ้นไปร้องแล้วก็จบแบบแต่งตัวสวย ๆ ขึ้นไปร้องแล้วอะ มันคือแบบอะไรที่จริงจังกว่านั้น เราต้องแบบทำอย่างอื่นนอกเหนือจากการขึ้นเวทีร้องเพลงเยอะมาก อย่างเช่น งานเบื้องหลังทุกวันนี้ ก็ช่วยพี่ครีเอทีฟคิดทุกอย่าง ทำทุกอย่าง มีอะไรก็ช่วยตัดสินใจ ชุด แม้กระทั่งผม อาร์ตเวิร์ก มิวสิควิดีโอ เหมือนเราอยากทำทุกอย่างให้เป็นงานของเรา ที่มันมาจากตัวเราจริง ๆ มันก็เลยจริงจังมากขึ้นมั้ง กดดันมากขึ้น อย่างเช่นซิงเกิลนี้จะประสบความสำเร็จไหม ถ้าไม่ เราต้องทำยังไงให้มันดีขึ้น คือมันต้องคิดเยอะขึ้นมากเลย มันก็มีทั้งความสนุก และความไม่สนุกอยู่ในตัวของมัน เพราะมันเป็นงานอะเนาะ มันไม่ใช่แค่เรื่องเล่น ๆ แล้ว แต่ว่าก็ยังเอ็นจอยอยู่ แฮปปี้อยู่ เพราะทุกครั้งที่ขึ้นเวที มันเหมือนแบบข้างล่างมันโดนตัดออก ขึ้นไปสนุก แต่พอลงมาปุ๊บ เราก็กลับมาใช้ชีวิต ทำงานอย่างอื่น เพื่อให้มันดีขึ้น

อาจจะเป็นเพราะตัวเองค่อนข้างเป็นคนเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ (Perfectionist) นิด ๆ ด้วย เลยแบบว่าอยากจะทำให้มันดีขึ้นเรื่อย ๆ อยากจะอุดสิ่งที่ไม่ดีให้มันดี ก็เลยทำให้ผิดหวังบ่อยเหมือนกัน แต่เราว่าการผิดหวังก็ดีเพราะว่าจะทำให้เรารู้ว่าแบบ เราไม่ได้เพอร์เฟ็กต์อ่ะ เราจะได้พยายามต่อไป ไม่งั้นเราก็จะหยุดอยู่กับที่

อะไรที่ทำให้อิ้งค์ตัดสินใจทำในสิ่งที่รักแบบไม่ลังเล

อิ้งค์ว่าอิ้งค์ตัดสินใจทำสิ่งที่ชอบมานานมากแล้ว ตั้งแต่เด็กมากจนกระทั่งโตขึ้นมาเรื่อย ๆ แม้กระทั่งเลือกแผนการเรียน ในขณะที่ทุกคนเลือกวิทย์ เลือกคำนวณ เราเลือกร้องเพลงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ก็ผ่านมาประมาณ 7-8 ปีแล้ว ก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าเราเลือกถูกนะ ไม่ว่าการที่เราทำอะไรในสิ่งที่เราชอบ แล้วทำต่อไปเรื่อย ๆ มันคือความโชคดีแล้วอ่ะ ในขณะที่บางคนรู้ว่าตัวเองชอบอะไร แต่ว่าไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ไปทำอีกแบบนึง มันเหมือนเขาเลือกผิดไปนิดนึงแล้ว แต่เข้าใจนะบางคนอาจมีข้อจำกัดต่างกัน ด้วยความที่เราอยู่ตรงนี้ เรารู้สึกว่าเราโชคดีแล้ว เราจะทำต่อไปเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่ได้เป็นศิลปิน ก็รู้สึกว่า อิ้งค์จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับเพลงต่อไปเรื่อย ๆ เพราะว่ามันเป็นส่วนนึงในชีวิตเรามานานมากแล้ว เราไม่มีทางตัดมันออกไปได้ แบบไม่มีวันไหนที่ไม่ร้องเพลงออกมา ไม่มีวันไหนที่ไม่ใช้การร้องเพลงทำอะไรสักอย่างนึง

อะไรคือความลับที่มีในโลกของอิ้งค์

อิ้งค์เป็นคนไม่ค่อยมีความลับอะไรเลยค่ะ เป็นคนเก็บความลับไม่ค่อยอยู่ แต่ว่าความลับ ถ้าคนที่ไม่รู้จัก แบบไม่รู้แล้วกันนะคะ คืออิ้งค์เป็นคนที่เรอไม่เป็นค่ะ อันนี้เป็นความลับปะ (หัวเราะ)​ ความลับมีในโลกค่ะ

ความสามารถพิเศษลับ ๆ ที่คนอื่นยังไม่รู้

โห ยากจัง กระดิกหูได้ จริง ๆ มีหลายอย่าง แต่มันคือความสามารถที่คิดว่าคนอื่นก็น่าจะทำได้นะ แต่คุณพ่อทำได้ เราก็เลยทำตามคุณพ่อตอนเด็ก ๆ เราก็เลยทำได้

สุดท้ายฝากผลงานกันหน่อย

ก็ฝากเพลง ความลับมีในโลก ด้วยนะคะ เพลงนี้ก็เป็นซิงเกิลใหม่ของอิ้งค์ค่ะ แล้วก็หลาย ๆ อย่างอาจจะดูแปลกตาไป รู้สึกตื่นเต้นกับงานนี้มาก ๆ อยากให้ทุกคนได้ดู ได้ชม ได้ฟังนะคะ สามารถฟังได้แล้วทุกช่องทางเลยค่า

จบบทสัมภาษณ์กับ อิ้งค์ วรันธร เราก็สัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติ ความน่ารักสดใส ความมีแพสชั่นในด้านการร้องเพลงตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วเลือกดำเนินชีวิตตามสิ่งที่ตัวเองรักจนประสบความสำเร็จ และที่สำคัญคือความคิดที่ Positive ของอิ้งค์ ภายนอกอาจจะดูเป็นคนที่สดใสร่าเริง แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ต่างอะไรจากทุก ๆ คนที่มีอุปสรรค มีความกดดันเข้ามาเหมือนกัน แต่สาวคนนี้เลือกที่จะคิดให้มันเป็นบทเรียนพัฒนาตัวเอง ไม่แปลกใจเลยที่สาวคนนี้จะเป็นที่น่าตกหลุมรัก ขอทิ้งท้ายกับคำพูดโดน ๆ ของ อิ้งค์ วรันธร ไว้ว่า

“ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ เราทำได้แต่แค่เราชอบหลอกตัวเองว่าเราทำไม่ได้

ติดตามบทสัมภาษณ์อื่น ๆ ได้ที่ : TALKS


อยากให้เพื่อนได้อ่าน แชร์เลย


Comments

Share This Articles
ใส่คีย์เวิร์ดแล้วกด Enter เลย